วันจันทร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2555

บทที่ 7 ค้างคาวดูดเลือด


Bat(ค้างคาว)
ตำนานของค้างคาวมีมากมายกระจัดกระจายไปทุกซีกโลก ในแอฟริกาใต้ มีเรื่องเล่าของคามาโซตซ์ เจ้าแห่งค้างคาวที่อาศัยในถ้ำยักษ์ใต้พิภพ ในยุโรปเองค้างคาวและนกเค้าแมวมักจะถูกโยงใยเข้ากับเรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติอยู่บ่อยๆ นั่นคงเป็นเพราะเสียงของมันฟังดูน่ากลัวและพบเห็นได้เฉพาะตอนกลางคืน มนุษย์เรากลัวความมืดเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เลยจับเอานกเค้าแมวและค้างคาวเหมารวมเข้าไปกับผู้ที่ชอบหลบเร้นในความมืดซะเลย

อีกสาเหตุหนึ่งที่ค้างคาวเข้ามายุ่งเกี่ยวกับตำนานแวมไพร์น่าจะมาจากพฤติกรรมของมัน มีค้างคาวอยู่สามสปีชี่ส์ที่ดูดเลือดของสัตว์อื่นกินเป็นอาหาร ถิ่นฐานของพวกมันอยู่ในทวีปแอฟริกา เจ้าค้างคาวพวกนี้สร้างความหวาดกลัวให้กับทหารสเปนในยุคล่าอาณานิคมเป็นอย่างมาก เมื่อกลับมาถึงยุโรป ตำนานของค้างคาวดูดเลือดยิ่งถูกเติมสีใส่ไข่ให้น่าฟังโดยเหล่ากลาสี ค้างคาวเลยกลายเป็นส่วนหนึ่งของแวมไพร์

 
 


บทที่ 8 สาเหตุของการดูดเลือดของค้างคาว

สาเหตุการดูดเลือดของค้างคาว
        สำหรับในคนแล้ว ยีนดังกล่าวช่วยป้องกันภาวะหัวใจวายโดยการผลิตโปรตีนที่สลายลิ่มเลือด และเคลียร์พื้นที่ภายในหลอดเลือด และก่อนหน้านี้ก็มีงานวิจัยที่ชี้ว่า ยีนนี้ทำงานได้ในน้ำลายของค้างคาวแวมไพร์ด้วย
อย่างไรก็ดี เดวิด ไลเบอร์เลส (David Liberles) นักพันธุศาสตร์จากมหาวิทยาลัยไวโอมิงในลารามี (University of Wyoming in Laramie) สหรัฐฯ กล่าวว่า สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็กและมีปีกนี้ ได้ดัดแปลงยีนพลาสมาเจน แอคทิเวเตอร์ หลังจากแยกสายวิวัฒนาการออกมาจากค้างคาวที่กินผลไม้และแมลง
ทั้งนี้เราพบค้างคาวแวมไพร์ได้ในบริเวณระหว่างอเมริกาใต้และอเมริกาเหนือ และจะดูดเลือดจากนกและปศุสัตว์อย่างตะกละตะกลาม ซึ่งทีมวิจัยของไลเบอร์เลสได้เลือกค้างคาว3 สปีชีส์ ซึ่งมีพฤติกรรมเหมือนแวมไพร์
เหยื่อของค้าวคาวแวมไพร์ขาขน(Hairy-legged vampire bat) คือ นกเท่านั้น ขณะที่ญาติใกล้ๆ อย่างค้างคาวแวมไพร์ปีกขาว(white-winged vampire bat) จะดูดเลือดสัตว์จำพวกนกและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ที่สำคัญมีเพียงค้างคาวแวมไพร์สามัญ ซึ่งเป็นสปีชีส์ที่รู้จักโดยทั่วไป ที่ดูดเลือดเฉพาะสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเท่านั้น โดยค้างคาวแวมไพร์ประเภทหลังนี้ ชื่นชอบสัตว์จำพวกวัว-ควายมากเป็นเป็นพิเศษ รวมถึงปศุสัตว์อื่นๆ แต่คนที่เผลอนอนหลับนอกบ้านก็อาจเป็นเหยื่อของสัตว์ดูดเลือดชนิดนี้ได้
          ในค้างคาวแวมไพร์3 สปีชีส์ ยีนพีเอของค้างคาวแวมไพร์ขาขนดูคล้ายกับยีนในค้างคาวที่ไม่ดูดเลือดมากที่สุดการกระตุ้นให้ยีนพีเอทำงานได้ในน้ำลายนั้น ไลเบอร์เลสอธิบายว่า ช่วยให้เลือดของนกไหลได้อย่างอิสระ ส่วนค้างคาวแวมไพร์อีก 2สปีชีส์ที่เหลือ ซึ่งล่าปศุสัตว์นั้นจำเป็นต้องอาศัยการกลายพันธุ์ของยีน เพื่อปกป้องโปรตีนที่สร้างขึ้นโดยยีนพีเอ ไม่ให้ถูกปิดกั้นการทำงานโดยตัวยับยั้งตามธรรมชาติ ซึ่งมนุษย์และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอาศัยตัวยับยั้งตามธรรมชาติเพื่อป้องกันการแข็งตัวของเลือด



บทที่ 9 โรคแดร็กคิวล่า

โรค แดร็กคิวล่า
ปี ค.ศ.1982 ศาสตร์ จารย์เดวิด ดอลฟิน ได้ชี้ว่าบุคคลเหล่านี้อาจป่วยเป็นโรคเลือดโดยกำเนิด คือความบกพร่องในเซลเม็ดเลือดและขาดธาตุเหล็ก อาการเหล่านี้ขนานนามว่า "โรค แดร็กคิวล่า" ผู้ที่เป็นโรคนี้จะมีร่างกายอ่อนแอ แพ้แสงแดดอย่างรุนแรงถึงขั้นปวดแสบปวดร้อนและมีการเปลี่ยนแปลงทางผิวหนังเพื่อเลี่ยงอาการเหล่านี้คนเหล่านั้นจึงมักปรากฏกายในยามค่ำคืน และนอกเหนือจากอาการป่วยทางผิวหนังแล้ว โรคนี้ยังส่งผลให้เหงือกของผู้ป่วยหดรัดตัวเข้าไปและมีฟันยืนออกมา ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้ผู้ป่วยเป็นโรคนี้จึงมีรูปร่างลักษณะและอุปนิสัย คล้ายผีดูดเลือด
ความ จริงที่น่าประหลาดใจอีกอย่างหนึ่งก็คือกระเทียมจะเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการ ทำลายเม็ดเลือด ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในร่างกายผู้ป่วย สรุปง่ายๆ ก็คือผู้ป่วยโรคนี้ไม่ถูกกระเทียมนัก



บทที่ 10 ตำนานแดร็กคูล่า

ตำนานแดร็กคูล่า

วลาด ทีปีซ เกิดประมาณเดือน พ.ย. หรือ ธ.ค. ปี 1431 ภายในป้อมอันเกรียงไกร ของโรมาเนีย เป็นโอรสของ วลาด แดร็กคุล ผู้นำสูงสุดของกองทัพ ทรานซิลวาเนียใยสมัยนั้น แดร็กคูลได้รับตรากล้าหาญ the Order of the Dragon จากจักรพรรดิ ซึ่งเทียบได้อย่างดีกับ เหรียญกล้าหาญสูงสุดในสมัยนี้ เขาเป็นผู้นำที่เหี้ยมโหดที่สุดเท่าที่เคยมีมาของแคว้นวลาเซีย ผู้คนของแคว้นนี้เพราะนอกจากต้องเผชิญกับ สงครามและการบุกรุกจากศัตรูแล้ว ยังต้องมาเผชิญกับผู้นำจอมโหดอย่างแดร็กคูลอีก ชาวเมืองต่างเข็ดเขี้ยวแสยงฟันกับการลงโทษที่โหดเหี้ยมผิดมนุษย์ของเขา และก็ดูเหมือนว่า แดร็กคูล จะนิยมชมชอบเลือดมนุษย์มากเป็นพิเศษ
         โบราณว่าเอาไว้ว่า เชื้อไม่ทิ้งแถวแนวไม่ทิ้งตระกูล วลาดทีปีซ บุตรชายของเขา ก็อำมหิตไม่น้อยหน้าผู้เป็นบิดา ว่ากันว่า ชื่อแดร็กคูล่านี้ แปลเป็นนัยได้สองความหมาย หนึ่งคือ Dragon หรือว่ามังกร ส่วนนัยที่สองก็น่าจะแปลง่ายๆว่า Son Of Draccul หรือ บุตรชายของนายมังกร ซึ่งก็คือแดร็กคูลจอมโหดนั่นเอง อย่าเพิ่งคิดว่าชื่อนี้เป็นมงคล เพราะความเชื่อของตะวันออกกับตะวันตกในเรื่องมังกร ค่อนข้างต่างกันอยู่ มังกรตระกูลริวหรือหลงของตะวันออก จะนำมาซึ่งความเป็นมงคลและโชคลาภ ต่างกันกับมังกรของตะวันตก ซึ่งถือว่าเป็นสัญลักษณ์ชั่วร้าย เป็นร่างแปลงของฝ่ายมารก็คงจะเข้ากันได้ดี กับบุคลิกของผู้นำแห่งวลาเซีย

ด้วยอายุเพียง17 ปี วลาด ทีปีซ ได้สร้างตำนานแห่งความน่าสะพรึงกลัวเอาไว้แทบทั่วทั้ งยุโรป ความเด็ดขาด อำมหิต และชาญฉลาดของเขา ทำเอาประเทศรอบข้างหวาดกลัวไปตามๆกัน แม้แต่ชาติมหาอำนาจในสมัยนั้นอย่างตุรกีเอง พอได้ยินชื่อวลาด ทีปิซ เท่านั้น ก็แทบจะเข่าอ่อนลงมากองกับพื้นเลย ทำไม? ประการแรกก็มาจากความบ้าเลือดในการทำสงครามของเขา อีกประการก็คงมาจากวิธีลงโทษเชลยศึก วลาด ทีปีซ จับเอาเหล่าเชลยมาเสียบด้วยไม้แหลมจากก้น จนทะลุขึ้นไปซีกบน แล้วก็เอามานั่งเรียงรายกันไปในบริเวณกว้างๆ เช่นกำแพงเมือง หรือ สนามหญ้าใหญ่ๆ วันไหนครึ้มอกครึ้มใจ เขาก็จะนั่งดินเนอร์ดูการประหารด้วยวิธีนี้เสียตรงนั้นเลย ในช่วงที่ว่างเว้นสงคราม วลาดก็จับเอาชาวเมือง ลูกเด็กเล็กแดงทั้งหลาย มาทำบาร์บิคิวสดๆ พฤติกรรมนี้เอง จึงทำให้ท่านวลาด ทีปิซ แดร็กคูล่าของเรา ได้รับฉายาว่า Impaler หรือนักเสียบ
ตระกูลของวลาดจะสิ้นสุดลงในปี 1658 พร้อมกับมรณกรรมของคอนแสตนติน บาสซารับ ทายาทคนสุดท้ายของวลาเซีย


วันเสาร์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2555

บทที่ 11 Erzebet Bathory สตรีผู้อาบและดื่มเลือดหญิงสาว

Erzebet Bathory สตรีผู้อาบและดื่มเลือดหญิงสาว
บุคคล ในประวัติศาสตร์อีกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตำนานแวมไพร์อย่างลึกซึ้งได้แก่Erzebet Bathory ข้อมูลหลายแหล่งกล่าวตรงกันว่าเธอเป็นเคาท์เตสผู้เลอโฉมคนหนึ่ง ซึ่งทำให้ผู้รับรู้เรื่องราวของเธอต้องตกตะลึง ในความโหดร้ายของเธอหลังจากที่ได้รับการรายงานเรื่องความโหดร้ายของ เธอ ในตอนสอบสวนคดี Bathory เมื่อปี 1611 ในฮังการี Erzebet Bathory ได้สังหารหญิงสาวไปมากกว่า300 นาง จากนั้นจึงนำเอาร่างอันปราศจากลมหายใจของเหยื่อไปใส่ไว้ในโลงที่มีเหล็กแหลม เพื่อทำการคัดเอาเลือดสดๆของเหยื่อออกมา ผู้ติดตามของ Bathory พากันสารภาพว่าที่เคาท์เตส แสนสวยทำลงไปเช่นนั้นเพราะต้องการดื่มเลือดสดๆของ เหยื่อ วันดีคืนดีก็มีการนำมาอาบบ้าง ด้วยเชื่อว่าเลือดสดๆของหญิงสาวจะช่วยรักษาความเยาว์วัยและยืดอายุขัยของเธอ ออกไปได้
        กิจกรรม โหดของ Bathoryต้องสิ้นสุดลง เพราะทางการทนฟังเสียงร้องเรียนจากประชาชนกรณีหญิงสาวหายตัวไปอย่างลึกลับ ไม่ไหว กองทหารเล็กๆกองหนึ่งได้รับคำสั่งลับให้สืบสวนเรื่องนี้โดยด่วน (ผู้นำกองทหารดังกล่าวนี้เป็นญาติของ Bathory เอง) สายสืบรายงานว่าหญิงสาวที่หายไปนั้น ร่องรอยสุดท้ายของพวกเธอมักขาดหายไปบริเวณคฤหาสน์ของเคาท์เตส Erzebet Bathory ภายหลังจากตรวจสอบจนแน่ใจแล้ว ผู้นำกองทหารจึงตัดสินใจบุกเข้าตรวจค้นคฤหาสน์ของเคาท์เตสBathory โดยไม่ต้องอาศัยหมายศาล
        พวกเขาต้องตกตะลึงภายหลังจากพังประตูปราสาทเข้าไปแบบไม่บอกกล่าว และพบว่า Bathory และสาวกกำลังประกอบกิจกรรมชนิดไหนกันอยู่ การจับกุมแบบยกแก๊งเกิดขึ้นโดยไม่ต้องมีการสอบสวนเนื่องจากพยานวัตถุมีให้เห็น ตัว Erzebet Bathory เองพยายามติดสินบนเจ้าหน้าที่เพื่อให้ปล่อยตัวเธอไปแต่ไม่มีใครยอมเล่นด้วย เธอรอดโทษทัณฑ์ประหารชีวิตไปได้เพราะความที่มีเชื้อเป็นเจ้าใหญ่นายโต ถึงกระนั้นการโดนจองจำในห้องขังที่ไม่มีทั้งประตูและหน้าต่างไปตลอดชีวิต ก็ไม่ถือว่าสาสมกับบาปที่ตัวเธอได้ก่อขึ้น Bathory ใช้เวลาที่เหลือจากวันไต่สวนจวบจนสิ้นอายุขัยในห้องขังดังกล่าว


บทที่ 12 เปาเล นายทหารชาวเซอร์เบีย

อาร์โนลด์ เปาเล

อาร์โนลด์ เปาเล (Arnold Paole) หนุ่มร่างกำยำล่ำสัน เป็นทหารที่เข้าประจำหมู่บ้านเมดูเอ็นยาหมู่บ้านแถบกอสโซวา (เตอร์กิชเซอร์เบีย ค.ศ.1729) (Serbian : แคว้นในยูโกสลาเวีย) แต่ในระหว่างทางเขาถูกทำร้ายโดยผีดูดเลือดระหว่างทางเสียก่อน เมื่อ อาร์โนลด์ถูกผีดูดเลือดกัดคอหอยจนบาดเจ็บ เขารู้สึกเจ็บแค้นผีดูดเลือดตัวนั้น จึงหาวิธีกำจัด โดยเดินทางไปยังสุสานที่ฝังศพผีดูดเลือดและทำพิธีแก้อาถรรพน์ โดยขุดศพผีดูดเลือดข้นมา เจาะเลือดของมันชโลมกาย และกินดินหลุมศพของมันเข้าไป แต่ผลสุดท้ายนายอาร์โนลด์ก็ไม่พ้นความตายได้ เมื่อวันหนึ่งเขาได้ขับเกวียนเข้าไปในไร่ แล้วเกิดอุบัติเหตุพลัดตกจากเกวียน ศีรษะพาดพื้นอย่างแรงตายคาที่ หลังจากอาร์โนลด์ตายแล้ว ก็เกิดเหตุการณ์สยองขวัญเกิดขึ้นในหมู่บ้าน เมื่อมีผู้พบเห็นนายอาร์โนลด์ออกมาตะเวนไปตามที่ต่างๆ ด้วยร่างกายแข็งทื่อ เขียวคล้ำทั้งตัว ชาวบ้านต่างหวาดผวา อาร์โนลด์ผีดูดเลือดที่ออกจากหลุม ตระเวรหาเหยื่อไปเรื่อย ผลคือทำให้ชาวบ้านเคราะห์ร้ายต้องเอาชีวิตสังเวยถึงสี่คน จนชาวบ้านไม่กล้าออกไปนอกบ้านยามค่ำคืนเมื่อ มีคนตายในลักษณะถูกกัดคอหอยแหอะหวะถึงสี่คนนี้ ชาวบ้านก็ทนไม่ไหวจึงรวมตัวเป็นกลุ่มใหญ่ แล้วยกโขยงไปในสุสานประจำหมู่บ้านจัดแจงขุดศพอาร์โนลด์เพื่อขึ้นมาพิสูจน์ ความจริง ครั้น แล้วทุกคนต้องผงะ และตกใจกลัวกับภาพทีอยู่ตรงหน้าเมื่อซากศพอาร์โนลด์ยังเปล่งปลั่งด้วยเลือด ฝาด ที่มุมปากมีเขี้ยวยาวแหลมคมงอกออกมาด้วย และมีเลือดที่ปากไหลเป็นทางยาว และเมื่อแสงแดดจัดจ้าส่องเข้ามาในโลงศพ อาร์โนลด์เบิกตากว้างรีบพลิกตัวหลบแดดทันที
ชาว บ้านก็ไม่รอช้า ต่างเฮโลขุดศพผู้ตกเป็นเหยื่อผีดูดเลือดอีกสี่ศพมาด้วยแล้วช่วยกันเอาไม้ เสี้ยนปักอก ใช้ค้อนตอกจนมิด เลือดสดๆ ทะลึกออกมากลิ่นเหม็นคาวคลุ้งไปทั่ว ผีดิบทั้งห้าบิดกายอย่างเจ็บปวด ส่งเสียงอืออาในลำคอก่อนที่สงบนิ่งไป เมื่อผีดูดเลือดสงบ ชาวบ้านก็ตัดหัวเอากระเทียมยัดปาก และเผาศพจนมอดไหม้เป็นขี้เถ้า
        แต่เรื่องนี้ยังไม่จบ อีกหกปีต่อมาหมู่บ้านเมดูเอ็นยาก็ประสบกับเหตุการณ์สยอดสยองอีกครั้ง เมื่อมีชาวบ้านหลายคนตายโดยปราศจากสาเหตุ





วันจันทร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2555

บทที่ 13 แวร์วูฟศัตรูตลอดกาลของแวมไพร์

แวร์วูลฟ์
ตำนานมนุษย์หมาป่า
มนุษย์หมาป่า(Werewolf) เป็นผีจำพวกเดียวกับแวมไพร์และมีพฤติกรรมคล้ายกัน คือ ดื่มกินเลือดและเนื้อของมนุษย์และสัตว์อื่นเป็นอาหาร เป็นความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์ของชาวยุโรปในยุคกลาง โดยที่เชื่อว่า บุคคลที่เป็นมนุษย์หมาป่าจะกลายร่างเป็นหมาป่าในคืนวันพระจันทร์เต็มดวง อาจจะแปลงร่างเป็นหมาป่าทั้งตัวเลยก็ได้ หรือครึ่งคนครึ่งหมาป่า หรือแม้กระทั่งแปลงเป็นสัตว์ป่าชนิดอื่น เช่น หมี เป็นต้น โดยที่วิธีการฆ่ามนุษย์หมาป่าจะคล้าย ๆ กับแวมไพร์ โดยตอกด้วยลิ่ม หรือเผา ที่เห็นบ่อยโดยเฉพาะในภาพยนตร์ก็คือ การยิงด้วยกระสุนที่ทำจากเงินหรือกระสุนผ่านการปลุกเสก มนุษย์หมาป่าก็แพ้แสงแดด และถูกตามล่าเหมือนกับแวมไพร์

ในเทพปกรณัมกรีก ก็มีเรื่องของชายผู้หนึ่งที่ถูกเทพซุสสาบให้กลายเป็นหมาป่า ชื่อ "Lycaon"

ถ้าจะกล่าวถึงมนุษย์หมาป่าตัวแรกของโลกแล้วLycaon กษัตริย์แห่ง Arcadia จัดได้ว่าเป็นหนึ่งในมนุษย์หมาป่าที่เก่าแก่ที่สุด เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นขึ้นที่ Arcadia เมืองๆหนึ่งในกรีกLycaon ผู้เป็นบุตรของ Pelasgusและ Meliboeaได้ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์พระองค์แรกของArcadia มีบุตรรวมห้าสิบคนและลูกสาวหนึ่งคน Lycaon นี่มีลักษณะนิสัยผิดชาวบ้านชาวช่อง พระองค์พิศมัยเนื้อหนังมังสามนุษย์เป็นอาหารจานเด็ด ความโหดร้ายป่าเถื่อนเลื่องลือไปเข้าหูเทพ Zeus (ซุส) จนได้ มีหรือที่ท่านจะไม่ตามไปท้าพิสูจน์ คิดได้เช่นนั้น เทพท่านจัดแจงปลอมแปลงเป็นนักเดินทางร่อนเร่ไปขอพักอาศัยในที่พำนักของกษัตริย์ตามเทรนด์ของเทพกรีกที่มักไม่ค่อยจะเสด็จไปไหนอย่างเปิดเผยตัว

พอไปถึงที่หมาย เหล่าข้าราชบริพารของ Lycaon ต่างก็รู้ตัวตนของมหาเทพและให้ความเคารพ นี่แสดงให้เห็นว่า Zeus ก็มีสิ่งที่ทำไม่ได้เรื่องอย่างการปลอมตัวอยู่บ้าง กระนั้น Lycaon ก็มิวายแกล้งโง่ไม่รู้ไม่เห็น แถมวางแผนจะดอดวางยาสังหารเทพด้วยการให้เสวยเนื้อมนุษย์ในค่ำคืนนั้นเอง เนื้อมนุษย์ที่ว่านี่มีหลายกระแส บ้างบอกว่าเป็นเด็กส่งสาร บ้างว่าเป็นหนึ่งในพี่น้องทั้งห้าสิบคนที่ชื่อ Nyctimus แต่ Zeusรู้ทันเกมและจัดการปิดบัญชีLycaon และลูกๆบางส่วนด้วยการสาปให้กลายเป็นหมาป่า ตำนานมนุษย์หมาป่าที่เก่าแก่ที่สุดได้เริ่มตรงนี้นี่เอง วังของ Lycaon ถูกถล่มราบโดยสายฟ้าของเทพ Zeus เสียสิ้น ส่วน Nyctimusได้ถูกชุบชีวิตขึ้นมาใหม่ ขึ้นเป็นกษัตริย์แทนผู้เป็นบิดา ส่วน Zeusได้ถูกยกยอบรรดาศักดิ์จากชาว Arcadia ให้เป็น Zeus Lykaos (Wolf-Zeus)




                             

บทที่ 14 การสังเกตแวมไพร์


การสังเกต

1. แวมไพร์เป็นผีดิบในร่างของมนุษย์ มีฟันแหลมคมมีใบหน้าที่ซีดเซียว ลมหายใจเหม็นเปรี้ยว
2. เนื่องจากแวมไพร์หากินกลางคืนต่างจากสัตว์ชนิดอื่น ดังนั้น เมื่อกล่าวถึงแวมไพร์ ก็มักจะนึกถึงผีดิบผิวซีดในชุดสีดำคล้ายค้างคาว
3. ในตอนกลางวันแวมไพร์จะนอนนิ่งอยู่ในโลงศพ ในสภาพที่ตาข้างหนึ่งเปิดอยู่ มีเลือดติดอยู่ตามปากหรือจมูก
4. ว่ากันว่าแวมไพร์นั้นจะแหวกหลุมศพขึ้นมาในตอนกลางคืนเพี่อจะออกหาเหยื่อ และดูดเลือดบริเวณคอของเหยื่อ
5. แวมไพร์ ถ่ายทอดเชื้อสายด้วยการกัด แต่ผู้ที่ถูกกัดทุกคนอาจเสียชีวิตและไม่ได้ถูกปลุกขึ้นมาเป็นแวมไพร์ตัวใหม่ก็ได้
6. ศพของแวมไพร์จะไม่เน่าเปื่อย ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแต่ ใบหน้าจะยังดูมีเลือดไหลเวียนอยู่ตลอดเวลา เพราะได้เลือดของเหยื่อหล่อเลี้ยงไว้
7.แวมไพร์ดื่มเลือดมนุษย์เป็นอาหารเพื่อหล่อเลี้ยงให้มีชีวิตเป็นอมตะ ไม่มีวันตาย
8.บ้านใดที่สงสัยว่าสมาชิกในครอบครัวที่เสียชีวิตไปแล้วจะกลายเป็นแวมไพร์ มักจะไปเปิดหลุมศพดูว่าศพยังอยู่หรือไม่ มีเวลาในการสำรวจหลุมศพ คือ ถ้าเป็นเด็กก็สามปีหลังการตาย ห้าปีสำหรับหนุ่มสาว และเจ็ดปีสำหรับผู้ใหญ่



 



บทที่ 15 การกำจัดแวมไพร์

วิธีสังหารแวมไพร์
วิธีสังหารแวมไพร์ดูจะคล้ายๆกัน กล่าวคือ เมื่อชาวโรมาเนียพบหรือสงสัยว่าใครเป็นแวมไพร์ จะโดนจับเอากระเทียมยัดจนเต็มปากแล้วเอามาเผาไฟ หลุมศพใดที่ต้องสงสัยว่าเป็นแหล่งพำนักกายของแวมไพร์ก็จะมีการยิงกระสุนเงินทะลุฝาโลงเข้าไป ถ้าถูกแวมไพร์ โลงนั้นจะมีไฟลุก นอกจากนี้การสังหาร แวมไพร์ นั้น อาจใช้ไม้ปลายแหลมตอกให้ทะลุหัวใจของมันก็สามารถทำให้แวมไพร์ตายได้ การสังหารแวมไพร์นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะต้องทำเฉพาะเวลากลางวัน ตอนที่มันไม่มีอำนาจเท่านั้น เชื่อว่าหลุมศพใดมีโพรงอยู่แสดงว่าศพในหลุมนั้นเป็น แวมไพร์ โดยความเชื่อของ ชาวโรมัน ให้เทน้ำเดือดลงไปในโพรงเพื่อกำจัด แวมไพร์